สำนักข่าว "ทันหุ้น" รายงานว่า บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด สแกน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ปรับลดประมาณการกำไรลงเล็กน้อย สะท้อนค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่คาดว่ากำไรยังเติบโตจากการขยายสาขาร้านเซเว่นฯ ไม่ต่ำกว่า 700 สาขา/ปี และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น รวมทั้ง MAKRO มีผลประกอบการฟื้นตัว แม้ SSSG ใน Q4/62 คาดว่าทรงตัวแต่กำไรของ CPALL ยังคาดว่าเติบโต5% YoY การปรับประมาณการทำให้ราคาเป้าหมาย (DCF, WACC 7.2%, LTG 4%) ลดลงจาก 92 บาท เป็น 87 บาท แต่ยังมีอัพไซด์ 22% จากราคาปัจจุบันจึงปรับคำแนะนำจาก Trading Buy เป็น ซื้อ

ความเคลื่อนไหวของหุ้น CPALL อยู่ที่ 70.25 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ 1.75% มูลค่าการซื้อขาย 657.53 ล้านบาท

**คาดกำไร Q4/62 เพิ่มขึ้น 5% YoY 

ฝ่ายวิจัย คาดกำไรสุทธิ Q4/62 เพิ่มขึ้น 4%QoQ และ 5% YoY เป็น 5,849 ล้านบาท โดยคาดว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 8% YoY  จากการเปิดสาขาร้านเซเว่นฯ 712 สาขา YoY และ SSSG ของแม็คโครเป็นบวกประมาณ 5% จากราคาเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นและน้ำท่วม แต่คาดว่า SSSG ร้านเซเว่นฯ อยู่ที่ 0% เนื่องจากฐานสูงที่ +4.5% ใน Q4/61 และการอุปโภคบริโภคชะลอตัว 

สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของ CPALL มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 20 bps YoY จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นทั้งสินค้าประเภทอาหารและไม่ใช่อาหาร เราคาดว่าเงินปันผลสำหรับปี 2562 เท่ากับ 1.30 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.8%

**ปรับลดประมาณการ แต่กำไรยังเติบโตได้

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2562-2564 ลง 3-5% สะท้อนถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายด้านพนักงานและการขยายไปต่างประเทศของแม็คโคร 

อย่างไรก็ดี ยังประเมินว่ากำไรปกติปีนี้เพิ่มขึ้น 10% จากการเปิดสาขาร้านเซเว่นฯ ไม่ต่ำกว่า 700 สาขา อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง อีกทั้งรายได้จากเคาน์เตอร์เซอร์วิสเริ่มฟื้นตัวจากการที่ธุรกิจ Banking agent สร้างรายได้เพิ่มขึ้นชดเชยกับการรับชำระบิลที่ชะลอตัวลง นอกจากนั้น ผลประกอบการของ MAKRO มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นหลังจากสาขาในต่างประเทศขาดทุนลดลง

**ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

CPALL ตั้งเป้าหมายมีสาขาร้านเซเว่นฯ ครบ 13,000 สาขาในปี 2564 ซึ่งเห็นว่ามีความเป็นไปได้ เนื่องจากใน Q3/62 มีร้านเซเว่นฯ 11,640 สาขา อีกทั้งข้อมูลจาก Euromonitor พบว่ามูลค่าตลาดของธุรกิจร้านสะดวกซื้อในไทยเติบโตมาต่อเนื่องและคาดการณ์อัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 4.7% ในช่วงปี 2561-2566 ขณะที่จำนวนประชากรต่อร้านประมาณ 4,600 คนซึ่งหนาแน่นกว่าต่างประเทศเช่นญี่ปุ่นไต้หวันอเมริกาและเกาหลีใต้ที่มีประชากรต่อร้าน 2,500 คน 2,300 คน 2,100 คนและ 1,600 คนตามลำดับทำให้ยังมีโอกาสเปิดสาขาร้านสะดวกซื้อได้อีกมากในไทย