> SET >

13 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา 09:26 น.

ASPS สแกนหุ้นราคาปรับขึ้นแรงกว่าตลาดฯ-มีโอกาสโดนขายทำกำไรสูง

สำนักข่าว"ทันหุ้น"รายงานว่า บล.เอเซีย พลัส หรือ ASPS สแกน หุ้นกลุ่มที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงกว่าตลาดฯ มีโอกาสโดนขายทำกำไรสูง โดยพิจารณาความเสี่ยงที่จะถูกขายทำกำไรเป็นรายกลุ่ม อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่มโรงไฟฟ้า  และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 


กลุ่มการเงิน การลดดอกเบี้ยดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องของ   ธปท. ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้หุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ปรับตัวขึ้นตั้งแต่กลางปี 2562   เป็นต้นมา และ outperform ตลาดมากเนื่องจากคาดหวังว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง


อย่างไรก็ตาม จากหุ้นที่อยู่ในการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่ามีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเกินมูลค่าพื้นฐาน ได้แก่ JMT([email protected]) SINGER([email protected]) SAWAD ([email protected]) และ THANI ([email protected])   ซึ่งหากจำแนกรายธุรกิจพบว่ายังมีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญแตกต่างกัน เริ่มจาก SINGER มีปัจจัยกดดันจาก NPL ที่เพิ่มสูงขึ้นจากที่บริษัทมีธุรกิจที่พึ่งพิงผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก   และการตั้งสำรองที่ยังไม่เพียงพอที่น่าจะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มใช้ TFRS9 ในงวด Q1/63


ตามมาด้วย THANI ที่อยุ่ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกที่แม้ได้รับผลประโยชน์จากดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง แต่ยังมีแรงกดดันจากงบประมาณที่เบิกจ่ายล่าช้า และสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งกดดันต่อการเติบโตของสินเชื่อในปี 2563


ส่วน JMT ที่แม้อยู่หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้ที่มีความโดดเด่นในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่คาดว่าจะไม่ได้รับผลประโยชน์จากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยมากนัก ขณะที่ SAWAD แม้ได้รับประโยชน์จากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยอย่างเต็มที่   และคาดว่าจะมีการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากภาวะที่ประชาชนมีความต้องการใช้เงิน  แต่ยังเกินมูลค่าพื้นฐานที่ฝ่ายวิจัยให้ไว้


กลุ่มโรงไฟฟ้า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้นักลงทุนย้ายเงินไปลงทุนให้หุ้นที่มีรายได้มั่นคงผันผวนต่ำ อย่างกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 563 ราคาหุ้นปัจจุบันในกลุ่มโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเต็มมูลค่า หรือมี upside จำกัด


อีกทั้ง ณ ราคาหุ้นปัจจุบันมี Dividend Yield ลดลงอย่างมีนัยฯ เหลือเฉลี่ยต่ำกว่า 3% ต่อปี จากในอดีตที่สูงกว่า 5% ต่อปี   ดังนั้นจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าบางตัวที่ Valuation ค่อนข้างเต็มมูลค่าพื้นฐาน ทั้ง GULF และ BGRIM   ให้รอราคาหุ้นปรับฐานแล้วค่อยเข้าลงทุนจะปลอดภัยกว่า


กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ประเด็นไวรัสโคโรนากดดันให้คนงานกลับมาทำงานน้อยอยู่ โดย เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 63 HANA แจ้ง  SET ว่าปัจจุบันโรงงานเจียซิง ที่ประเทศจีน (18% ของรายได้รวม) ได้กลับมาดำเนินการผลิตแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 63   (หลังจากหยุดไปราว 2 สัปดาห์ แบ่งเป็นหยุดตรุษจีนตามปกติราว 1 สัปดาห์   และรัฐบาลจีนสั่งให้หยุดโรงงาน 1 สัปดาห์   เพื่อป้องกันละควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรน่า)


อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้ออกกฎระเบียบว่าพนักงานที่อยู่ที่จังหวัดอื่นนอกเมืองที่โรงงานตั้งอยู่ (เจียซิง) หากจะกลับมาทำงานที่โรงงานเจียซิงของ HANA  ได้จะต้องถูกกักบริเวณเป็นเวลา 14 วัน   ซึ่งปัจจุบันพนักงานที่อยู่ต่างจังหวัดยังกลับมาได้ไม่ถึง 10% เพราะมีปัญหาด้านการเดินทาง ทำให้ HANA ประเมินว่าในระหว่าง 2 สัปดาห์นี้ (10-24 ก.พ. 63) โรงงานเจียซิงจะดำเนินการผลิตได้ไม่เกิน 30% ของกำลังการผลิตของโรงงานเจียซิง และคาดว่าโรงงานเจียซิงจะทยอยเพิ่มกำลังการผลิตได้ในสัปดาห์ต่อๆไป ซึ่ง  HANA คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 4-5 สัปดาห์กว่าจะสามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้เป็นปกติ หรือราวกลางเดือนมี.ค. 63   เป็นต้นไป โดยในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มรายได้รวมของ  HANA ในปี 2563 ราว 2-3% จากปัจจุบัน


ฝ่ายวิจัยประเมินว่า โรงงานผลิตวัตถุดิบชิ้นส่วนฯ และโรงงานประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีน จะได้รับผลกระทบคล้ายกับโรงงานเจียซิงของ HANA ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯ ไทยด้วย  แบ่งได้ดังนี้ 1) ด้านการจัดหาวัตถุดิบ  จะทำให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนไทยสั่งซื้อวัตถุดิบจากจีนได้ลดลง แต่ผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯ ไทยก็จะเร่งหาซื้อวัตถุดิบชิ้นส่วนฯ จากประเทศอื่นแทน


2) ด้านการส่งมอบสินค้า  จะส่งผลกระทบให้ลูกค้าในจีนรับมอบสินค้าจากผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯไทยลดลง เพราะไม่สามารถดำเนินการผลิตในโรงงานของตัวเองได้เต็มที่  ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มรายได้รวมงวดครึ่งแรกปี 2563 ของกลุ่มชิ้นส่วนฯไทย ถือเป็น downside ต่อประมาณการกำไรกลุ่มชิ้นส่วนฯ ในปี   2563


ทั้งนี้ ผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯ ไทยมีเพียง HANA ที่มีโรงงานอยู่ที่จีน โดยผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯ ไทยมีสัดส่วนรายได้จากประเทศจีน ดังนี้ HANA 18% DELTA 14% KCE 10% และ SVI 5%


ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ปรับพอร์ตตามพอร์ตจำลอง ASPS หรือนักลงทุนสามารถใช้เป็นแนวทางในการลงทุนลงได้โดยในปี 2563 นี้  พอร์ตจำลองฝ่ายวิจัยฯ ทำผลตอบแทนได้ 7.09%ytd (ชนะกองทุนวมหุ้นทั้งประเทศ)   ขณะที่ SET Index -2.53%ytd โดยลักษณะหุ้นลงทุนในพอร์เป็นสัดส่วนหุ้นปันผล 55% (MCS, PYLON,   KKP, PTTEP) หุ้นผันผวนต่ำ 25% (EASTW, POPF ROBINSรอแปลงเป็น CRC) และหุ้นเติบโต 20% (TU   WHA) 

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X