สวัสดีครับท่านผู้อ่าน คอลัมน์ฉบับนี้ ผมจะมาพูดถึงกลุ่มโรงแรม ซึ่งราคาหุ้นในกลุ่มนี้ ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องด้วยปัจจัยกดดันหลักจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุด (11 ก.พ.63) มีจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 43,101 คน และยอดผู้เสียชีวิต 1,018 คน (คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 2.36%) ทั้งนี้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมจากเชื้อไวรัสโคโรนาได้พุ่งสูงกว่ายอดผู้เสียชีวิตจากโรคซาร์สที่เคยระบาดเมื่อปี 45-46 แล้ว โดยเหตุการณ์การระบาดของโรคซาร์สในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตจากทั่วโลก 774 คน แม้เหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาจะเริ่มมีความผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากที่จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 4,043 คน

แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดคือภาคการท่องเที่ยว หลังจากที่ทางการจีนสั่งให้บริษัทนำทัวร์ท่องเที่ยวหยุดจำหน่ายแพ็คเกจท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเมื่อวันที่ 24 ม.ค.63 เริ่มเห็นสัญญาณเชิงลบที่ชัดเจนของผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย จากที่สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) เผยตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการผ่านสมาคมฯ เดือน ม.ค. 63 อยู่ที่ 4.09 แสนคน ลดลง 17%YoY จากระดับ 4.92 แสนคนใน ม.ค. 62 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในเดือน ม.ค. 63 ลดลง 20.39%YoY จาก 2.84 แสนคนในเดือน ม.ค.62 สู่ระดับ 2.26 แสนคนในเดือน ม.ค.63

ส่งผลให้ฝ่ายวิจัย SCBS ปรับสมมติฐานอัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี 2563 ลดลงสู่ 1.5% (จากเดิม 4%) ชะลอตัวลงจากที่เคยเติบโต 4% ในปี 2562 และปรับประมาณการกำไรปี 2563-64 ของผู้ประกอบการโรงแรม (CENTEL ERW และ MINT) ลดลง หลักๆ เกิดจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) ที่ลดลง เราคาดว่า RevPar จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากปี 2562 (-4-11%) ถึงปี 2563 (-4-6%) แต่คาดว่าจะกลับมาเติบโตในปี 2564 (+4-7%) เป็นเหตุผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มโรงแรมปรับลงอย่างต่อเนื่อง

มีคำถามตามมาว่าแล้วจะฟื้นตัวเมื่อไหร่ คำตอบของผม คือ ราคาหุ้นกลุ่มโรงแรมมีโอกาสฟื้นตัวกลับได้บ้างในช่วงนี้ ด้วยปัจจัยหนุนจาก

1) ประเทศจีนวางแผนอนุญาตให้ภาคธุรกิจกลับมาเปิดดำเนินการเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดชะลอตัวในช่วงวันที่ 10-14 ก.พ.

2) ทั้งภาครัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการต่างๆเพื่อช่วยเหลือ เช่น การจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและยืดเวลาเวลาชำระเงินงวด 6 เดือนสำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยว การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน การปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมการขึ้น-ลงของอากาศยาน สนับสนุนให้จัดการประชุมสัมมนาในพื้นที่ต่างๆ

3) ราคาหุ้นในกลุ่มโรงแรมมีมูลค่าทางพื้นฐานที่น่าสนใจ โดยซื้อขายต่ำกว่าระดับวิกฤตครั้งที่ผ่านๆ มา (สถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในปี 2551 และปี 2557, การปราบปรามผู้ประกอบการทัวร์ศูนย์เหรียญ และช่วงไว้อาลัยในปี 2559)  ดังนั้น ในช่วงนี้ ราคาหุ้นที่ปรับลงมามากเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพื่อดักการฟื้นตัว โดยแนะนำหลังจากประกาศผลประกอบการที่อ่อนแอผิดปกติใน 1Q63 (รอให้ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบให้เต็มที่)

ส่วนหุ้นที่น่าสนใจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดี แนะนำ ERW เนื่องจากราคาหุ้นที่ผ่านมาปรับตัวลงแรงกว่า CENTEL และ MINT เนื่องจากสองบริษัทดังกล่าวมีธุรกิจอาหารช่วยกระจายความเสี่ยง ในขณะที่ ERW มีธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจโรงแรมอย่างเดียว ดังนั้น หากสถานการณ์คลี่คลายขึ้น หรือตัวเลขนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา จะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาหุ้น ERW ฟื้นตัวได้แรง ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ SCBS ประเมินราคาเป้าหมายใหม่ (หลังปรับประมาณการลงแล้ว) ได้เท่ากับ 6.00 บาทต่อหุ้น มี upside กว่า 30% จากราคาหุ้นในตลาดปัจจุบัน ...และพบกันใหม่ในฉบับหน้า...ด้วยรักและหวังดี..ท่านสามารถติดตามข่าวสาร และความรู้ด้านการลงทุนผ่าน Face Book เอกภาวิน สุนทราภิชาติ และ Line ที่ @wavesmart