> KS Whole in one >

11 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา 06:30 น.

ไวรัสช่วงวาเลนไทน์

แม้เราจะยังคงมุมมองเชิง “บวก” ต่อภาพรวมตลาด แต่ก็ปรับลดเป้าหมาย SET Index ล่วงหน้า 12 เดือนลงเป็น 1,700 จากเดิมที่ 1,725 เพื่อสะท้อนประเด็นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 ในจีนและผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มการท่องเที่ยว ทั้งนี้ เราเล็งเห็นความเสี่ยงของความล่าช้าในการอนุมัติ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี FY2563 ของไทยเป็นปัจจัยรบกวนเท่านั้น จึงคาดว่าเศรษฐกิจจะปรับดีขึ้นจากปี 2562 ด้วยคาดการณ์ว่า GDP สิ้นปี 2563 จะอยู่ที่ 2.5-2.6% (KS ประเมินไว้ที่ 2.6%) เราคาดว่ารัฐบาลจะออกมาตรการเชิงรุกกว่าในอดีต ที่เจาะจงไปยังจุดอ่อนของเศรษฐกิจมากขึ้น และเป็นมาตรการที่เน้นการลงทุน/ภาคธุรกิจมากขึ้น


สำหรับประเด็นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเรามองเป็น 3 กรณีดังนี้:

1) กรณีฐาน: เราคาดว่า SET จะเคลื่อนตัวในระดับราวๆ +0.25SD ต่ออัตราส่วนต่างผลตอบแทนตลาดและพันธบัตร (EYG) (1,521) และคาดว่าจะฟื้นสู่ระดับ +0.125SD (1,566) หากการแพร่ระบาดมีรูปแบบคล้ายกรณีโรคซาร์ส ที่มีสถานการณ์ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีการแพร่ระบาดไปได้ 4 เดือน ทั้งนี้ เราชอบ AOT มากที่สุดในสถานการณ์นี้


2) กรณีที่ดีที่สุด: ในกรณีนี้เราคาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายอย่างรวดเร็วหรือมีพัฒนาการเชิงบวกที่มีนัยสำคัญอย่างเช่นการค้นพบวัคซีน ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของ SET Index ขึ้นสู่กรอบ 1,566-1,610 หรือในระดับค่าเฉลี่ย EYG (1,610) ในกรณีนี้เราแนะนำเข้าซื้อ AOT ERW และ CPN


3) กรณีต่ำที่สุด: สถานการณ์อาจพัฒนามาสู่สมมติฐานกรณีนี้ได้จาก 1) จีนไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้แม้จะขยายกรอบเวลาวันหยุดสำหรับเทศกาลตรุษจีนแล้วก็ตาม และ/หรือเกิดการแพร่ระบาดในประเทศไทยและมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา 2019 เรามองว่าในกรณีนี้ SET Index จะปรับลดลงเพิ่มเติมสู่ระดับการซื้อขายในกรอบต่ำที่ 1,440 (+0.5SD EYG) และ 1,521 (+0.25SD EYG) ซึ่งจะนำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ด้วย แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มการท่องเที่ยว


ช่วงวันวาเลนไทน์จะเป็นสัปดาห์ที่สำคัญ เราได้ทำการวิเคราะห์ปัจจัยอ่อนไหว (scenario analysis) ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาจะเป็นเช่นไรในช่วง 1 เดือนข้างหน้า หากสถานการณ์จริงเป็นไปตามการวิเคราะห์ของเรา ก็มองว่าช่วงสัปดาห์วันวาเลนไทน์จะเป็นสัปดาห์ที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะอาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อ เรามองว่าปฏิกิริยาเชิงลบต่อยอดผู้ติดเชื้อที่จะสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์ดังกล่าวจะกลายเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ เพราะสมมติฐานของเราคาดว่าจำนวนเคสใหม่ๆ จะทรงตัวหลังจากสัปดาห์ดังกล่าว ทั้งนี้ วันที่ 8 ก.พ. นับเป็นช่วง 14 วันให้หลังจากวันที่ 30 ม.ค. 2563 ซึ่งเป็นกรอบเวลาสูงสุดของการฝักตัวของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ 14 วัน เรามองว่ารัฐบาลจีนจะทำทุกวิถีทางเพื่อการควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ภายในสัปดาห์วันวาเลนไทน์


กลยุทธ์การลงทุนและหุ้นเด่นได้แก่

1)หุ้นที่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (AOT และ CPN) ด้วยการที่ความกังวลในระยะสั้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสนำมาซึ่งโอกาสในการเข้าซื้อ โดยการเอาจริงเอาจังกับวิกฤตในครั้งนี้ของจีนจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ราคาหุ้น AOT และ CPN ได้ปรับลดลงไป 5-7% หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในช่วงกลางเดือน ม.ค. 2563


2)กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท (KCE และ TU) การอ่อนค่าของเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ 3%YTD จะช่วยกระตุ้นกำไรปี 2563 ของ KCE และ TU ขึ้น 16%


3)กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ IMO 2563 (BGC และ DCC) จากราคา HSFO ที่ลดลงจากการเปลี่ยนประเภทเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขนส่งของโลก


4)กลุ่มน้ำมัน (PTTEP และ TOP) จากคาดการณ์ว่า OPEC จะขยายข้อตกลงการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันไปถึงเดือน มิ.ย. 2563 เพื่อป้องกัน downside ของราคาน้ำมันโลกในระดับ 60 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ขณะที่คาดว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงหลัง หากรัฐบาลจีนสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้ และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามมา


5)กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน (STEC) จากการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ารวม 6.0 แสนลบ. ในปี 2563 หลังจากรัฐสภาฯ ไทยผ่าน พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ล่าช้ามาแล้ว


6)กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการปรับเพิ่มของ NPLs ในประเทศไทย (CHAYO) คาดว่า CHAYO จะได้ประโยชน์จากอุปสงค์ที่สูงขึ้นจากบริการทวงถามหนี้และปริมาณหนี้ในตลาดให้เลือกซื้อมากขึ้นสำหรับธุรกิจรับซื้อหนี้ของบริษัท การปรับเปลี่ยนรายการคงค้างภายใต้มาตรฐานบัญชีแบบ TFRS 9 จะช่วยให้ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) รับรู้รายได้ได้เร็วกว่ามาตรฐานบัญชีแบบเก่า แม้เราจะชอบ BAM แต่มองว่าหุ้นมี upside ที่จำกัดเมื่อเทียบราคาปิดล่าสุด


7)หุ้นเติบโต (RBF) เพราะเราคาดว่ากำไรของ RBF ในปี 2563 จะโตขึ้น 24%YoYด้วยแรงหนุนจากการเติบโตที่แข็งแกร่งด้านรายได้จากการเดินเครื่องโรงงานใหม่ในอินโดนีเซียและเวียดนามช่วงไตรมาส 1/2563 และ OPM ที่ดีขึ้นจากการประหยัดดอกเบี้ยจ่ายและอัตรา SG&A ต่อยอดขายที่ลดลง

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X