สำนักข่าว"ทันหุ้น"รายงานว่า บล.เอเซีย เวลท์ เทียบฟอร์ม หุ้น MTC และ SAWAD ที่ประเมินไตรมาส 4/62 ผลประกอบการจะทำนิวไฮทั้ง 2 บริษัท ขณะที่ในปีนี้มีแนวโน้มที่ดี ส่วนหนึ่งมาจากการลดดอกเบี้ยของธปท.โดยแนะนำซื้อหุ้น MTC ที่มองเป็นหุ้นหลุมหลบภัยในช่วงเศรษฐกิจซบ แต่ปรับลดคำแนะนำในหุ้น SAWAD เหตุราคาที่ผ่านมาปรับขึ้นมาก ทำให้เต็มมูลค่าพื้นฐาน

บล.เอเชีย เวลท์ ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC  โดยแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 75 บาทต่อหุ้น มองว่าเป็นหุ้นหลุมหลบภัยในช่วงเศรษฐกิจซบเซา โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/62 จะทำนิวไฮอยู่ที่ 1,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% จากช่วงเดียวกันปีก่น และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 3/62 โดยมีปัจจัยหนุนจากกการเติบโตของสินเชื่อ คาดสินเชื่อ ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่ 5.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.6% ซึ่งมาจากกลยุทธ์การขยายสาขา และคาดส่วนต่างผลตอบแทน (Yield Spread) เพิ่มขึ้น จากต้นทุนการเงินที่ลดลง หลังธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในครึ่งหลังปี 62  และล่าสุดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งในเดือน ม.ค. 63 รวมเป็น 3 ครั้ง 

นอกจากนี้คาดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง โดยประเมินอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อยอดขาย (SG&A-to-Sale Ratio) ลดกลับสู่ระดับ 45.5% เทียบกับไตรมาส 3/62   ที่ 49.3% เนื่องจากในไตรมาสดังกล่าวมีการบันทึกค่าใช้จ่าย Incentive พนักงาน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นครั้งเดียวเข้ามา  

**แนวโน้มปีนี้ยังสดใส

ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการทั้งปี 2563 ของ MTC โดยมีปัจจัยบวกจาก แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งส่งผลบวกต่อต้นทุนทางการเงิน โดยในไตรมาส 1/63 บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ใหม่จำนวน 1.5 หมื่นล้านบาทเพื่อมาทดแทนหุ้นกู้เดิม คาดจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินลงจาก 3.9% เหลือ 3.7% ต่อปี , กลุ่มลิสซิ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจฝืดน้อย เนื่องจากยังมองว่าตลาดยังมีความต้องการใช้เงินอยู่ รวมถึงยังมี Untapped Market ในการขยายตลาด ทั้งนี้ MTC ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 4,500 สาขา ภายในปี 2563  

**ลดคำแนะนำ SAWAD    

บล.เอเซีย เวลท์ ยังได้ออกบทวิเคราะห์ หุ้นบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD  โดยได้ปรับคำแนะนำลงเป็นถือ จากเดิมแนะนำซื้อ แต่ยังคงราคาเป้าหมายเดิมที่ 72 บาท มองว่าแม้ม้ธุรกิจโดยรวมของกลุ่ม

ลิสซิ่งจะสดใส แต่ราคาหุ้น SAWAD ปรับตัวขึ้นมาสูงถึง 16.3% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จนเต็มมูลค่าเชิงปัจจัยพื้นฐาน นอกเหนือจากนี้ SAWAD ยังมี Downside จากลูกหนี้ชั้น SM ที่สูง ซึ่งอาจส่งผลต่อการตั้งสำรองในอนาคต ดังนั้นจึงแนะนำ Switch ไปลงทุน MTC  แทน เนื่องจากการเติบโตที่แข็งแกร่ง รวมถึงความเสี่ยงจาก SM ที่ต่ำ (เพียง 7.8%)

โดยประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 4/62 ของ SAWAD จะเติบโตทำนิวไฮ อยู่ที่ 998 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5.4% จากไตรมาส 3/62  จากการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของสินเชื่อ โดยประเมินตัวเลขสินเชื่อ ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1% จากปี 2561 ด้านค่าใช้จ่าย คาดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้ จะปรับขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 37.0% เทียบกับไตรมาส 3/62  ที่ 35.8% เนื่องจากมีการบันทึกค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานเข้ามาในไตรมาสนี้

ขณะที่ในปีนี้ มอง SAWAD ยังได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนพอร์ตสินเชื่อกลุ่มที่การแข่งขันไม่รุนแรง เช่น สินเชื่อ Land for Loan หรือ สินเชื่อรถยนต์บางประเภท ไปให้ BFIT เป็นผู้ดำเนินการ คาดจะช่วยเพิ่ม Room การขึ้นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมได้บางส่วน ซึ่งส่งผลต่ออัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ที่ดีขึ้น ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อปี 2563  อยู่ที่ 20-25% และตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 4,500 สาขาภายในสิ้นปี 2563  จากปัจจุบันที่ประมาณ 3,500 สาขา 

อย่างไรก็ตาม ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS9 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 63  แม้ผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่ต่อฝั่งรายได้จะจำกัด  แต่ฝั่งความเสี่ยงเกี่ยวกับสำรองยังคงมีอยู่ จากเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ใหม่ ซึ่งกำหนดให้ลูกหนี้ชั้น Under-performing Loan จำเป็นต้องตั้งสำรองเต็ม 100% เทียบจากเดิมที่ตั้งเพียง 2% ของมูลหนี้หลังหักหลักประกัน ทั้งนี้ SAWAD มีลูกหนี้ชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention; SM) ซึ่งเทียบเคียงได้กับชั้น Under-performing ของมาตรฐานใหม่ สูงถึง 19.0% (ณ สิ้น 3Q19) ทำให้ SAWAD มีความเสี่ยงที่จะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น โดยคาดอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวม (Credit Cost) ปี 2563  อยู่ที่ 2.0% เพิ่มขึ้นมาปี 2019 ที่คาดไว้ที่ 1.7%