> SET > KKP

05 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา 14:17 น.

KKP ตั้งเป้าปีนี้ขยายพอร์ตสินเชื่อ 7-9%, คุมคุณภาพหนี้ หลังศก.ชะลอตัว

สำนักข่าว "ทันหุ้น"รายงานว่า “กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร-KKP" มุ่งขยายพอร์ตสินเชื่อปีนี้ 7-9% พร้อมควบคุมคุณภาพหนี้ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เผยครึ่งปีหลัง 2562 สินเชื่ออสังหาฯ เอสเอ็มอี และรายย่อยเติบโตเกือบทุกประเภท ด้านตลาดทุนยังแกร่ง  อาศัยโมเดลธุรกิจหลากหลาย รักษารายได้ในสภาวะตลาดผันผวน ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่ง ด้านธุรกิจ Wealth Management และธุรกิจจัดการกองทุน รับเงินลงทุนเพิ่มจากลูกค้าส่งผลให้มี AUA (Asset Under Advice) ร่วม 6 แสนล้านบาท เป็นผลจากผลิตภัณฑ์หลากหลายและบริการลงทุนในต่างประเทศช่วยตอบโจทย์นักลงทุนช่วงตลาดหุ้นไทยซบเซา ในขณะที่ทีมวิจัยบล.ภัทร เชื่อจีดีพีเติบโตลดจาก 2.8% เหลือ 2.2% จากเหตุไวรัสโคโรน่า ภัยแล้ง และความล่าช้าของพรบ.งบประมาณ 


นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร  เปิดเผยว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมามีปัจจัยภายนอกที่ทำให้เศรษฐกิจเกิดความผันผวนหลายประการ เช่น สงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ แต่ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจฯ ถือว่าออกมาในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากกําไรสุทธิ (และกำไรเบ็ดเสร็จที่รวมผลจากการวัดมูลค่าหลักทรัพย์เผื่อขายของธุรกิจตลาดทุน) เพราะธุรกิจฝ่ายตลาดทุน หลายส่วนได้รับประโยชน์จากความผันผวนในตลาด เช่นธุรกิจการลงทุนของฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Equity and Derivatives Trading) นอกจากนั้น ส่วนอื่นๆ ของธุรกิจตลาดทุนก็ทำได้ดีเช่นกัน เช่น ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่ลูกค้าสถาบัน ที่บล.ภัทร ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจวานิชธนกิจ ที่มีธุรกรรมรายการใหญ่หลายรายการ อาทิ AWC และธุรกิจ Wealth Management และธุรกิจจัดการกองทุน ซึ่งปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำหรือการจัดการ (Asset Under Advice: AUA) ร่วม 6 แสนล้านบาท และเติบโตขึ้นมาจากปีก่อนหน้า ประมาณ 1 แสนล้านบาท จากความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบริการการลงทุนในต่างประเทศ หุ้นกู้อนุพันธ์รูปแบบต่างๆ หรือแม้กระทั่งสินทรัพย์นอกตลาด (Private Markets) ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในสภาวะที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนต่ำ


ด้านนายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงผลการดำเนินงานในส่วนของธุรกิจธนาคารพานิชย์ว่า  สินเชื่อของธนาคารสําหรับปี 2562 มีการขยายตัวที่ 4.2% จากสิ้นปี 2561 โดยมาจากการขยายตัวในสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยเกือบทุกประเภท ยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มีการ หดตัวในปี 2562 ตามยุทธศาสตร์การกระจายความเสี่ยงของธนาคาร และสินเชื่อบรรษัท ซึ่งมีการจ่ายหนี้คืนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ยิ่งกว่านั้น ผลจากการพัฒนาระบบคัดกรองสินเชื่อและติดตามเร่งรัดหนี้ ยังทำให้ธนาคารสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมจาก 4.1%  เมื่อสิ้นปี 2561 มาเป็น 4.0%  ณ สิ้นปี 2562  


ทั้งนี้ การเติบโตอย่างมีคุณภาพของสินเชื่อในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวในระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารเชื่อว่าแม้จะมีปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจหลายประการ แต่ภายใต้ระบบการดำเนินงานภายในที่ได้พัฒนาขึ้น จะส่งผลต่อเนื่องทำให้สินเชื่อของธนาคารสามารถเติบโตได้ในช่วง 7-9%  สำหรับปี 2563


นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณและประธานสายตลาดการเงิน  ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ให้รายละเอียดผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2562 เปรียบเทียบกับงวดไตรมาส 4 ปี 2561 ว่า 

กลุ่มธุรกิจฯ มี กําไรสุทธิ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 1,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% จากงวดเดียวกันของปี 2561 เป็นกําไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดําเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จํากัด (มหาชน) และบริษัทย่อย จํานวน 310 ล้านบาท มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 3,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน  ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ อยู่ที่ 1,250 ล้านบาท ลดลง 4.8%  จากงวดเดียวกันของปีก่อน  และรายได้อื่น 642 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 5,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น1.6%  จากงวดเดียวกันของปี 2561 


ทางด้านสินเชื่อของธนาคารสําหรับปี 2562 มีการขยายตัวที่ 4.2%  จากสิ้นปี 2561 โดยมาจากการขยายตัวใน สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยเกือบทุกประเภทยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มีการหดตัวในปี 2562 ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่ 4.0%  ปรับ ลดลงจากสิ้นปี 2561 ที่อยู่ที่ 4.1%  ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คํานวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกําไรหลังหักเงินปันผลจ่ายครึ่งแรกของปี 2562 อยู่ที่ 16.60% โดยเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 12.88% แต่หากรวมกําไรถึงสิ้นไตรมาส 4/2562 หลังหักเงินปันผลจ่ายครึ่งแรกของปี 2562 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 17.83% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 14.11%


สำหรับการประเมินสภาวะเศรษฐกิจของปี 2563 นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“บล.ภัทร ประเมินว่าสำหรับปี 2563 แม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ตามวงจรเศรษฐกิจและการส่งออกที่เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น แต่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยก็ยังมีความเสี่ยง   บล. ภัทร ได้ปรับประมาณการการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2563 จาก  2.8% เหลือ 2.2%  จากสามปัจจัยเสี่ยงหลักคือ การระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการท่องเที่ยว , ความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณที่ส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ และวิกฤตภัยแล้ง 



จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X