สำนักข่าว "ทันหุ้น" รายงานว่า บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คงคำแนะนำ“ถือ”  บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายที่ 54.00 บาท อิง PER ที่ 31x (-0.5SDbelow 5-yr. average. PER) มีมุมมองค่อนข้างเป็นลบ โดยยังต้องติดตามราคาซื้อขายและรายละเอียดของดีลเข้าซื้อ Tesco Lotus นี้ และการระดมทุนต่อไปคาดว่า BJC จะมีกำไรหลังรวมเทสโก้ โลตัสประมาณ 1หมื่นล้านบาท ในปี 2563 เพิ่มขึ้นประมาณ 53% จากก่อนรวม และ Net D/E อาจจะปรับขึ้นจาก 1.2x เป็นประมาณ 3x ซึ่งต้องระมัดระวังการเพิ่มทุน 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในการซื้อกิจการครั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับราคา การแข่งขัน แผนการตลาด และข้อกฏหมายต่างๆ ขณะที่ธุรกิจกระป๋องผ่านพ้นจุดต่ำสุด โดยปี 2563 จะเดินการผลิตมากขึ้นทั้งในไทยและเวียดนามเพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เข้ามามากขึ้นโดยอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นแต่จะยังไม่เหมือนในช่วงปี 2560-2561 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทยังไม่สูญเสียลูกค้ารายใหญ่ไป

ขณะที่ใน Q4/62 จะเป็น high season ของการบริโภคซึ่งผลประกอบการจะดีขึ้นจากไตรมาสก่อน แต่อัตรากำไรยังคงถูกกดดันจากกลุ่มลูกค้า B2B ซึ่งมีอำนาจต่อรองสูง คาดว่ากำไร 2562 จะยังใกล้เคียงกับที่คาดไว้ที่ 6.7 พันล้านบาท(FlatYoY) ราคาหุ้น BJC ปรับลดลง 15% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาจนต่ำกว่า –1SD แล้วสะท้อนอัตราการเติบโตของกำไรปี 2562 ที่ลดลง +1.2% YoY (เทียบกับ 2018ที่ +27%YoY) จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง  โดยห้างสรรพสินค้าต้องเผชิญกับการแข่งขันออนไลน์ค่อนข้างมาก 

ฝ่ายวิจัยแนะนำเพียง “ถือ” จนกว่าจะเห็นผลที่ชัดเจนขึ้นจากการปรับ product mix และ economy of scales ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์รวมถึงติดตามความคืบหน้าการซื้อ Tesco  Lotus 

ความเคลื่อนไหวของหุ้น BJC อยู่ที่ 42.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.60% มูลค่าการซื้อขาย 78.82 ล้านบาท

Event: ประกาศเข้าประมูลซื้อ Tesco Lotus

ยังต้องติดตามรายละเอียดการซื้อ Tesco Lotus เรามีมุมมองค่อนข้างเป็นลบโดยยังต้องติดตามราคาซื้อขายรายละเอียดของดีลนี้และการระดมทุนต่อไป โดยเมื่อมองในแง่ของ revenues market share นั้น BJC และ CRC มีโอกาสที่จะได้ดีลนี้ เพราะ market share อยู่ในระดับประมาณ 13%-15% ขณะที่ CPALL อาจจะเข้าซื้อยากกว่าเพราะ Market share ประมาณ 40% (อย่างไรก็ตาม การคิด market share ก็มีหลากหลายวิธี) 

โดยหากเราคาดว่า เทสโก้ โลตัส ในประเทศไทยจะมีกำไรประมาณ 8.6 พันล้านบาท และอาจจะมีดอกเบี้ยจ่ายอีกประมาณ 5 พันล้านบาท จากดอกเบี้ย 3.4% จากราคาซื้อขายประมาณ 2.2 แสนล้านบาท ทำให้คาดว่า BJC จะมีกำไรหลังรวมเทสโก้ โลตัสประมาณ 1หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 53% จากก่อนรวม และ Net D/E อาจจะปรับขึ้นจาก 1.2x เป็นประมาณ 3x ซึ่งต้องระมัดระวังการเพิ่มทุน 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในการซื้อกิจการครั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับราคา การแข่งขัน แผนการตลาด และข้อกฏหมายต่างๆ ซึ่งเราต้องติดตามต่อไป