KPIเปิดเกมรุกลุยทุกเจน ปีนี้เบี้ยทรงตัวแต่กำไรโต

#KPI #ทันหุ้น KPI เดินเกมรุกสร้างการเติบโตยั่งยืน ผ่านการขยายฐานลูกค้าทุกเจน โดยเฉพาะเจเนเรชั่นใหม่ เตรียมลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยี สร้างการเข้าถึงที่หลากหลายช่องทาง ทั้งพันธมิตรหลักอย่าง KTB หนุนเต็มสููบ รวมถึง นายหน้า-ตัวแทนที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการขยายฐานลูกค้า ปีนี้คาดเบี้ยทรงตัวที่ระดับ 5.3 พันล้านบาท แต่กำไรจะกลับมาเติบโต

นางสาวสุชาวดี แสงอนงค์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ KPI กล่าวว่า KPIเตรียมแผนงานสำหรับการขยายฐานลูกค้าเจเนเรชั่นใหม่มากขึ้น ซึ่งเป็นกำลังซื้อใหม่ที่ทยอยเข้ามาในตลาด ขณะเดียวกันสำหรับฐานลูกค้าเก่าก็ยังคงรักษาไว้ โดยเฉพาะฐานลูกค้าจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ดังนั้น ทั้งการขยายฐานลูกค้า หรือการรักษาฐานเดิมไว้ในปีนี้ ส่งผลให้ KPI มีแผนในการปรับเปลี่ยนธุรกิจทั้งในด้านของระบบเทคโนโลยี งานด้านบริการ รวมถึงสร้างการรับรู้ในแบรนด์ ที่ถูกปรับภาพลักษณ์ให้โมเดิร์นและทันสมัยยิ่งขึ้น

ปีนี้ KPI มีแผนงานเชิงรุกมากขึ้น โดย นางสาวสุชาวดี มองว่า เพราะธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปมากในยุคปัจจุบัน การจะเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทจะต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ต้องเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเจนเนเรชั่น ต้องเพิ่มช่องทางที่หลากหลายในการเข้าถึงลูกค้า หนึ่งในช่องทางที่มีศักยภาพในอนาคตก็คือช่องทางดิจิทัล ทั้งในส่วนของ เว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่น ดังนั้นบริษัทจำเป็นต้องลงทุนในระบบเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันการลงทุนในส่วนงานดังกล่าวไม่ได้แพงเหมือนเมื่อก่อนจึงถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการพัฒนาช่องทางดิจิทัล

“แผนงานที่วางไว้ไม่ใช่ 1-2 ปีที่จะเห็นผล เราคาดหวังว่าจะเห็นผลชัดก็ต้องใช้เวลา 3-4 ปี”

ส่วนช่องทางพันธมิตร ซึ่งมี KTB เป็นพันธมิตรหลักก็ยังคงสนับสนุนการขยายงานของบริษัท อย่างไรก็ตาม นางสาวสุชาวดี มองว่า KPI ก็ต้องหาโอกาสใหม่สร้างการเติบโต ดังนั้นช่องทางพันธมิตรต่างๆ ทั้งในส่วนของตัวแทน-นายหน้า โบรกเกอร์ก็จะเป็นอีกตัวขับเคลื่อนหลักให้กับการเติบโตของ KPI เช่นกัน โดยปัจจุบันฐานลูกค้าของบริษัทมีสัดส่วนจาก KTB ราว 25% และจากช่องทางอื่นๆ ราว 75%

“เรามีแผนจะเพิ่มฐานลูกค้าจากช่องทางอื่นๆ มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าฐานลูกค้าของ KTB ลดลง แต่หมายความว่าเราเพิ่มสัดส่วนลูกค้าได้จากช่องทางอื่นๆ ได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเรามีฐานลูกค้าราย 4-5 ล้านราย”

นางสาวสุชาวดี กล่าวต่อไปว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถก้าวข้ามเกณฑ์ ธุรกิจประกันภัยขนาดกลาง มาสู่ธุรกิจประกันภัยขนาดใหญ่ได้ ด้วยตัวเลขเบี้ยรับรวม 5.3 พันล้านบาท เติบโตราว 7% จากปี 2565 ซึ่งมีเบี้ยรับรวมราว 4.9 พันล้านบาท ส่วนในปี 2567 บริษัทคาดว่าธุรกิจน่าจะทรงตัว โดยเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับตัวเลขของปี 2566 โดยจะกลับมาเน้นสร้างผลกำไรให้เติบโต

ส่วนหนึ่งเพราะพอร์ตงานในส่วนของพันธมิตร รู้ใจ ที่ก่อนหน้านี้มีสถานะเป็นโบรกเกอร์ ได้ขยายงานมาเป็นบริษัทประกันภัยเอง ทำให้ เบี้ยราว 900-1,000 ล้านบาท ที่มาจาก รู้ใจหายไป ดังนั้นในส่วนนี้บริษัทก็มีแผนที่จะหางานเข้ามาทดแทนเช่นกัน ทั้งการการขยายพันธมิตร ช่องทางการจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นต้น ซึ่งในรายละเอียดของแผนงานจะแจ้งในเร็วๆ นี้

โดยราวเดือนเมษายน ปี 2566 บริษัท รู้ใจ จำกัด หรือ รู้ใจ ประกันออนไลน์ ซึ่งดำเนินธรุกิจนายหน้าประกันกัย ตกลงเข้าซื้อกิจการ บริษัท เอฟดับบลิวดีประกันภัย จำกัด (มหาชน) จาก บริษัท โบลท์เทค เป็นที่เรียบร้อย เพื่อขยายงานตลาดประกันวินาศภัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญของการเติบโตไม่ได้มีแค่ตัวเลขเบี้ยประกันเท่านั้น นางสาวสุชาวดี บอกว่า ในแง่ของกำไรมีความสำคัญมากต่อความยั่งยืนธุรกิจเช่นกัน ซึ่งในปีที่ผ่านมาตัวเลขของกำไรอาจลดลงไปบ้าง โดยปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 620 ล้านบาท ลดลงจากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 758 ล้านบาท และมีทรัพย์สินทรัพย์รวม 13,811 ล้านบาท จากปี 2565 ที่มีสินทรัพย์รวม 14,886 ล้านบาท ดังนั้นการเติบโตของบริษัทจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขเบี้ยเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับการเติบโตของกำไรด้วย

ส่วนของกำไรที่ลดลงในปีก่อนมาจากตัวเลขเคลมสินไหมที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประกันรถยนต์ ที่เข้าสู่สภาวะปกติหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลงไปทำให้การเดินทางสัญจรกลับมาเป็นปกติ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินไหมปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม KPI ก็มีการบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ด้วยการปรับเบี้ยให้สะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริง