#How to ลงทุน by MFC หนึ่งในประเทศที่นักลงทุนให้ความสนใจและเป็นที่พูดถึงในช่วงที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นประเทศอินเดีย  เพราะในช่วงปี 2021-2023 Nifty 50 Index ให้ผลตอบแทน 17% ต่อปี และมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดีย กว่า 2.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่แล้ว และ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากนับตั้งแต่ต้นปีนี้ สะท้อนว่าอินเดียได้รับความสนใจจากต่างประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียกำลังเติบโตอย่างโดดเด่น จนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก คาดการณ์ GDP ปี 2566 อยู่ที่ 7.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วหลังเกิดการระบาดโควิท-19 GDP ขยายตัวเฉลี่ย 8% ต่อปี และมีแนวโน้มขยายตัวที่ 6.6%ในปีนี้ และ 6.3%ในปีหน้าในแง่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในอินเดีย หรือ EPS Growth ของหุ้นอินเดียปี 2566 เติบโตกว่า 12%ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ 9%

*ฐานการผลิตโลก

อย่างที่ทุกคนทราบดี ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ในด้านจำนวนประชากรที่มีมากกว่า 1,400 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาวและกลุ่มวัยทำงาน และมีอายุเฉลี่ยที่ 28 ปี แนวโน้มประชากรยังคงเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อกำลังซื้อภาคครัวเรือนและเป็นจุดน่าสนใจในการเป็นฐานการผลิตของธุรกิจของโลก

ภาคบริโภคเป็นเครื่องจักรสำคัญอย่างหนึ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยภาคบริโภคมีสัดส่วนกว่า 50% ของ GDP นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนของคนอินเดียถือว่าอยู่ในระดับไม่สูง ทำให้ยังมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของอินเดียอยู่ที่ 14.7% หากเปรียบเทียบกับประเทศไทยที่อยู่ที่ 91.6%

การขยายตัวที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากด้านแผนการพัฒนาประเทศและโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงและเริ่มส่งผลที่ดีต่อภาพรวม ซึ่งหมายรวมถึงนโยบาย GST หรือ Goods and Service Tax คือการตั้งอัตราภาษีสินค้าและบริการให้มีอัตราเดียวกันทั้งประเทศ ทำให้ช่วยลดความยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบธุรกิจทำให้ดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น ในปี 2566 มีเม็ดเงิน FDI เข้าอินเดียกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

*พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดีย มีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนการพัฒนามูลค่า 1.72 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2567 ถึง 2573 โดยเน้นการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์

ความเสี่ยงของประเทศอินเดีย ที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนต่างประเทศ ได้แก่ ค่าเงินรูปีที่มีโอกาสอ่อนค่าลง หากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากอินเดียนั้นเป็นผู้นำเข้าน้ำมันอันดับ 3 ของโลก ราคาอาหารที่อาจปรับสูงขึ้น อาจนำไปสู่เงินเฟ้อที่จะคงอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ นักลงทุนต้องติดตามการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในช่วง 19 เม.ย. - 4 มิ.ย. นี้ โดยนายกรัฐมนตรี "นเรนทรา โมดี" จากพรรค BJP ยังคงเป็นตัวเต็งด้วยผลงานต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจที่เด่นชัดตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม จากสถิติการเลือกตั้งย้อนหลัง 5 ครั้ง พบว่าตลาดหุ้นอินเดียนั้นปรับตัวขึ้น ภายในหกเดือนหลังการเริ่มการเลือกตั้ง

คอลัมน์: How to ลงทุน by MFC

โดย ชุติมน แก้วคีรี

บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน)