#KTC #ทันหุ้น - บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 มีกำไรสุทธิ 1,803.00 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.70 บาท ลดลง 3.67% จากไตรมาส 1/2566 ที่มีกำไรสุทธิ 1,871.71 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.73 บาท
KTC ชี้แจงว่า "ไตรมาส 1 ปี 2567 กลุ่มบริษัทยังคงความสามารถในการทำกำไรขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรและพอร์ตสินเชื่อขยายตัวในลักษณะชะลอตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจที่โตช้ากว่าที่คาดเคทีซียังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม"
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ("กลุ่มบริษัท") มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 เท่ากับ 1,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากไตรมาส 4 ปี 2566 ที่มีจำนวน 1,761 ล้านบาท หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2566 ที่มีจำนวน 1,872 ล้านบาท ลดลง 3.7 % ขณะที่มีกำไรสุทธิเฉพาะกิจการของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เท่ากับ 1,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 1,843 ล้านบาท กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมเติบโตที่ 11.7% (YoY) ทั้งจากรายได้ดอกเบี้ย รายได้ค่าธรรมเนียมและหนี้สูญได้รับคืน ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 20.49 (YoY) ตามการขยายตัวของปริมาณธุรกรรม รวมถึงมูลค่าการตัดหนี้สูญที่มากขึ้นจากการเปลี่ยนกรอบเวลาการตัดหนี้สูญให้เร็วขึ้น เพื่อให้พอร์ตสินเชื่อรวมภายหลังสิ้นสุดการใช้เกณฑ์ผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ NPL สะท้อนภาพความเป็นจริงมากขึ้น
ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 กลุ่มบริษัทมีอัตราการขยายตัวของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ 8.5% (YoY) มีมูลค่าพอร์ตสินเชื่อรวมเท่ากับ 105,347 ล้านบาท ขยายตัวที่ 2.0% (YoY) แบ่งเป็น พอร์ตบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตที่ 2.3% (YoY) และ 2.4% (YoY) ตามลำดับ โดยที่สินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงิน มียอดสินเชื่อใหม่จำนวน 611 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 82.6% (YoY) ขณะที่พอร์ตสินเชื่อลูกหนี้ตามสัญญาเช่าในบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด ("KTBL") หดตัวที่ 9.6% (YoY) เนื่องจากหยุดปล่อยสินเชื่อใหม่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามเคทีซียังคงเน้นขยายพอร์ตสินเชื่อรวมพร้อมกับควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ไปด้วยกัน
เคทีซียังคงสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี มี NPL Coverage Ratio อยู่ในระดับสูงที่ 434.7 % ขณะที่ อัตราส่วน NPL (*NPL) ของงบเฉพาะกิจการอยู่ 1.5% ลดจาก ณ สิ้นปีที่อยู่ที่ 1.7 สำหรับกลุ่มบริษัทมี NPL Coverage Ratio อยู่ในระดับสูงเช่นกันที่เท่ากับ 353.8% และ NPL ของกลุ่มบริษัทยยู่ที่ 2.0% ลตลงจากสิ้นปีที่อยู่ 2.2% สำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 Credit Cost สูงขึ้นเป็น 6.4% (เดิม 5.3% ณ ไตรมาส 1 ปี 2566) เป็นผลจากการเปลี่ยนเกณฑ์ตัดหนี้สูญให้เร็วขึ้น ทั้งนี้บริษัทมีเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจนและจะยังคงมุ่งมั่นที่จะบริหารพอร์ตรวมให้เติบโตอย่างมีคุณภาพภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ ในแนวทางการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม
เป้าหมายปี 2567 กลุ่มบริษัทตั้งเป้ามูลค่ากำไรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าอัตราเติบโตของการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ 15% และยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงินมีมูลค่า 6,000 ล้านบาท แต่เนื่องด้วยปี 2567 นี้กลุ่มบริษัทมีการปรับกรอบระยะเวลาการตัดหนี้สูญให้เร็วขึ้น จึงทำให้กลุ่มบริษัทปรับเป้าหมายอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อรวมที่เคยตั้งไว้ที่ 10% เป็นขยายตัวประมาณ 6% -7% กำหนดพอร์ตลูกหนี้ KIC PROUD ที่มีอายุ 0-90 วัน ขยายตัวที่ 5% และปรับลด %NPL จากไม่เกิน 2.2% เป็นไม่เกิน 2.0%
ในไตรมาส 1 ปี 2567 เป้าหมายส่วนใหญ่ยังไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจมีความอ่อนตัวลงมากกว่าที่คาด อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่ากลยุทธ์การสร้างฐานลูกค้าบัตรเครติตในกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น การคัดกรองคุณภาพพอร์ตทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และการสื่อสารสร้างความตระหนักรู้ในสินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงินกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จะสามารถทำให้เคทีชีบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในที่สุด
บล.กรุงศรีพัฒนสิน
บล.กรุงศรีพัฒนสิน ออกบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 27 มี.ค. มีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 1Q24F คาดที่ 1,800 ลบ. กำไรลดลง -4% y-y เพราะการเพิ่มขึ้นของคำใช้จ่ายสำรอง (ECL) จากการตัดจำหน่ายลูกหนี้ (write-off) มากขึ้น ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +2% q-9 จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ตามปัจจัยฤดูกาล
สำหรับสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น +7% y-y ลดลง -2%q-q คิดเป็น -2% YTD การลดลง YTD จากสินเชื่อบัตรเครดิต ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 2.25% เพิ่มจาก 4Q23 ที่ 2.19%
ภาพรวมเรามองว่า KTC ไม่น่าสนใจ เพราะ i) กำไรสุทธิปี 2024F คาดเติบโตเพียง +3% y-y ii) มีความเสี่ยงเรื่องกฎกณฑ์จากทาง ธปท. สำหรับเรื่องการแก้หนี้เรื้อรัง ทาง KTC ประเมินกรณีแย่สุด หากลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ทุกรายเข้าร่วมโครงการจะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยลดลงราว 18 ลบ.ต่อเดือน ซึ่งกระทบต่อประมาณการของเรา 2-3%
บล.บัวหลวง
บล.บัวหลวงออกบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ระบุว่า กำไรสุทธิไตรมาส 1/67 มีแนวโน้มทรงตัว YoY และเพิ่มขึ้น QoQ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/67 ที่ 1.9 พันล้านบาท ทรงตัว YoY (การเติบโตของสินเชื่ออาจถูกกลบด้วยการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น) แต่เพิ่มขึ้น 6%QoQ (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล) เราคาดการเติบโตของสินเชื่อในไตรมาสนี้ที่ 8% YoY (ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล 1% QoQ)หนุนจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มากขึ้น แต่การเติบโตของสินเชื่ออาจถูกกลบด้วย NIM ที่ลดลงและการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น เราคาด NIM ไตรมาส 1/67 ที่ 10.06% ลดลง 5bps YoY และ 34bps QoQ เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น เราคาดอัตราการตั้งสำรองในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 5.60% เพิ่มขึ้น 33bps YoY แต่ลดลง 29bps QoQ
แนวโน้มการเติบโตของกำไรไตรมาส 2/67 ไม่น่าตื่นเต้น
บล.บัวหลวงคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 1.8 พันล้านบาท ทรงตัว YOY (การเติบโตของสินเชื่อน่าจะถูกกลบด้วยการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น) แต่ลดลง 3% 00Q (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น) สำหรับปี 2567 เราคาดกำไรสุทธิที่ 8.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY หนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ 13%YOY เราคาด GDP ของประเทศไทยจะโต 3.2% ในปี 2567 ซึ่งหนุนการใช้จ่ายผู้บริโภคและการเติบโตของสินเชื่อ KTC
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม